อการใช้เทคนิคการแยกสารพันธุกรรมหรือโปรตีนในห้องปฏิบัติการนั้น วัสดุที่นิยมใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาการ์ส (Agarose) และโพลีอะคริลาไมด์ (Polyacrylamide) ซึ่งทั้งสองอย่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันและเหมาะสำหรับการใช้ในแอพพลิเคชั่นที่ไม่เหมือนกัน ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่างอาการ์สและโพลีอะคริลาไมด์
อการใช้เทคนิคการแยกสารพันธุกรรมหรือโปรตีนในห้องปฏิบัติการนั้น วัสดุที่นิยมใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาการ์ส (Agarose) และโพลีอะคริลาไมด์ (Polyacrylamide) ซึ่งทั้งสองอย่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันและเหมาะสำหรับการใช้ในแอพพลิเคชั่นที่ไม่เหมือนกัน ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่างอาการ์สและโพลีอะคริลาไมด์
ในขณะที่โพลีอะคริลาไมด์นั้นเป็นโพลimerที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับขนาดรูพรุนได้ตามสัดส่วนของสารเคมีที่ใช้ในการเตรียมเจล เหมาะสำหรับการแยกโปรตีนหรือสารพันธุกรรมที่มีขนาดเล็กกว่า อย่างเช่นพวกเพปไทด์ หรือ DNA ขนาดเล็ก ที่มีขนาดอยู่ในช่วงไม่เกิน 100 bp โพลีอะคริลาไมด์มีความสามารถในการแยกสารที่มีมวลโมเลกุลคล้าย ๆ กันได้ดี และมักจะใช้ในการทำ SDS-PAGE (Sodium Dodecyl Sulfate Polyacrylamide Gel Electrophoresis) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการศึกษาโปรตีน
นอกจากนี้ ในการใช้งานจริงอาการ์สสามารถนำมาใช้เพื่อแยก DNA ได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งทำให้เหมาะสมกับการทำงานในห้องปฏิบัติการทั่วไป ขณะที่โพลีอะคริลาไมด์อาจต้องใช้ขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิและเวลาในการทำปฏิกิริยา เคมีอื่น ๆ ซึ่งทำให้การใช้งานอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
อีกหนึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ความเสถียรและความเข้มข้นของเจล อาการสามารถรักษาเจลได้เป็นระยะเวลานานและไม่แปรเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ ในขณะที่โพลีอะคริลาไมด์สามารถเสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อเวลาผ่านไป การเตรียมโพลีอะคริลาไมด์มีความยุ่งยากและต้องทำในสภาวะที่เฉพาะเจาะจงเพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของเจล
สรุปได้ว่า ทั้งอาการ์สและโพลีอะคริลาไมด์มีความสำคัญในงานวิจัยทางชีววิทยาและเคมี แต่เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับประเภทของตัวอย่างที่จะทำการแยก หากต้องการแยก DNA ขนาดใหญ่ อาการเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากเป็นโปรตีนหรือ DNA ขนาดเล็ก โพลีอะคริลาไมด์ก็เป็นวัสดุที่เหมาะสมมากกว่าอย่างแน่นอน